เรียนภาษาอังกฤษจากเพลง : Taylor Swift – Blank Space สรุป

โพสต์นี้ก็จะเป็นโพสต์สรุปเนื้อหาคำศัพท์และแกรมมาร์ที่เขียนชำแหละอธิบายไปในสองโพสต์ก่อน
ย้อนไปอ่าน
ตอน 1
ตอน 2

เห็นมั้ยว่าแค่เพลงเพลงนึง เราสามารถเรียนรู้อะไรได้มากมายขนาดนี้
Tense ที่เราเรียนกันมาตั้งแต่เด็กยันโต ก็ยังมีใช้ในเพลงป๊อปเลย ลองพยายามทำความเข้าใจดู จะเห็นว่ามันไม่ได้ยากนักหรอก ที่ใช้กันจริงๆก็มีอยู่ไม่เยอะด้วย
ถามว่าถ้าไม่สนใจเรื่อง Tense แล้วจะแย่มั้ย จริงๆก็ไม่แย่ แต่เราจะสื่อความหมายออกมาได้ไม่ชัดเท่าที่อยากเท่านั้นเอง

นอกจากเรื่อง Tense แล้วก็ยังได้ความรู้เรื่องอื่นเพิ่มเติมอีกมากมายก่ายกอง คำศัพท์ก็ได้เยอะด้วย
สรุปมาให้แล้ว ไปอ่านกันได้

คำศัพท์ (Vocabulary)

  • Incredible (adj.) น่าเหลือเชื่อ, ไม่น่าเชื่อ, มหัศจรรย์
  • Magic (n.) โดยปกติแล้วแปลว่าเวทมนตร์ แต่อาจแปลได้ว่าความมหัศจรรย์ก็ได้เหมือนกัน
  • Madness (n.) เป็นคำนามของคำว่า Mad (คำคุณศัพท์) ที่แปลว่า บ้า หรือ โกรธ โดยส่วนใหญ่แล้วถ้ามี ness ลงท้าย คำคำนั้นมักจะเป็นคำนาม และเป็นการเปลี่ยนจากคำคุณศัพท์เป็นคำนามเสียส่วนมาก
  • Mistake (n.) แปลว่า ความผิดพลาด คำที่ใกล้เคียงก็มีคำว่า Fault, Error, Flaw
  • New money (n.) เป็นสแลง หมายถึงคนที่พึ่งจะรวย อาจจะเคยเป็นชนชั้นล่างหรือชั้นกลางมาก่อน บางทีอาจจะเป็นคำที่ใช้พูดถึงคนที่พึ่งรวยเลยซื้อของแพงๆอวดร่ำอวดรวยก็ได้เช่นกัน
  • Ain’t เป็นคำย่อแบบไม่เป็นทางการของ am not, are not, is not, has not, have not. ซึ่งในกรณีนี้ จะย่อมาจาก Isn’t it เพราะมี It เลยต้องใช้ is
  • Rumor (n.) ข่าวลือ
  • Gonna เป็นคำย่อของ Going to แต่เป็นคำที่ไม่เป็นทางการนะ ไม่ควรใช้ในการพูดหรือการเขียนที่เป็นทางการ
  • Let’s เป็นคำย่อมาจาก Let us ที่แปลว่า “ปล่อยให้เรา” “ยอมให้เรา” “ให้พวกเรา” อะไรประมาณนี้ เจอบ่อยๆก็ Let’s go “พวกเราไปกันเถอะ”
  • Go down in flames เป็นสำนวนที่แปลว่า พังพินาศ แต่จริงๆคิดว่าความหมายมันเหมือนกับการที่จมลงในกองไฟ เลยก็คิดว่าแปลแบบ จมลงกองไฟ น่าจะสวยกว่า
    แต่สำหรับการเอาไปใช้จริง ก็เอาไปใช้ว่าพังพินาศเลยได้นะ
  • คำว่า High ปกติแล้วจะแปลว่า สูง แต่เป็นสแลงที่หมายถึง “ความสุข” ได้ หรืออาจจะแปลว่า “เมายา” ในที่นี้ก็ควรจะแปลว่าความสุขเนอะ
  • Worth (adj.) มีค่า
  • Ex เมื่อเอาไปกับคำนามต่างๆก็มักจะแปลว่า “อดีต” อย่างเช่น Ex-boyfriend, Ex-girlfriend, Ex-friend, Ex-guitarist แต่เมื่อ
    Ex อยู่เดี่ยวๆ ก็มักจะแปลว่าคนรักเก่า
  • ‘Cause ย่อมาจาก Because ที่แปลว่า “เพราะว่า” แต่ถ้าย่อกว่านี้อีกก็จะเหลือ Cuz
  • Players จริงๆแล้วแปลว่า “ผู้เล่น” แต่ในเพลงส่วนใหญ่ที่เจอ จะหมายถึง “คนเจ้าชู้” จริงๆก็ดัดแปลงมาจาก ผู้เล่นน่ะแหละ ผู้เล่นเกม คนที่ชอบเล่นเกม เห็นหัวใจคนอื่นเป็นแค่เกม อยากจะเอาชนะ ชนะแล้วก็จบ เริ่มเกมใหม่กับคนอื่น อะไรประมาณนี้
    ท่อนต่อมาก็ยังมีพูดถึง เกม ด้วย ก็เลยลงล็อคกับคำว่า Players พอดี
  • Reckless (adj.) แปลว่า ความสะเพร่า หรือการทำอะไรโดยไม่คิด ไม่ไตร่ตรองก่อน ซึ่งมักจะเป็นนิสัยของเด็กๆและวัยรุ่น เราเลยมักจะเจอ young and reckless มาคู่กันเสมอในหลายๆเพลง
  • Breath (n.) แปลว่าลมหายใจ เติม less เข้าไป เลยทำให้กลายเป็น adj และแปลว่าหายใจลำบาก
    โดยปกติ less มันแปลว่า “น้อย” อยู่แล้ว ถ้าเห็นคำนี้ไปอยู่ท้ายคำไหนๆ แปลว่ามันต้องน้อยลง หรือไม่มีไปเลย อย่างเช่น…
    Face (ใบหน้า) + less = ไม่มีหน้า
    Worth (คุณค่า) + less = ไร้ค่า
    แต่!!! ถ้า Price (ราคา) + less = ประเมินค่าไม่ได้ เพราะมันไม่มีราคา เป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้เลย
  • Cherry หมายถึงสีเชอร์รี่ การเอาคำนามสองคำมาอยู่ติดกัน คำแรกจะกลายเป็นคำขยายคำหลัง ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า Compound Nouns หรือคำนามผสม อย่างเช่น bus stop (ป้ายรถเมล์), leather bag (กระเป๋าหนัง)
  • Crystal มักจะใช้อธิบายถึงอะไรที่ใสๆ ชัดเจน กระจ่างแจ้ง ว่างเปล่า
  • Find out เป็น Phrasal Verb หรือการนำคำกริยา มาผสมกับคำบุพบท ซึ่งจะทำให้เกิดความหมายใหม่ออกมา บางทีก็ความหมายใกล้เคียงกับคำเดิม หรือบางทีก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนละเรื่องเลย
    อย่าง Find แปลว่าค้นหา มาเจอ Out ที่แปลว่าออก รวมกันแล้วแปลว่า ค้นพบ, ได้รับรู้ความจริง, สืบ
  • Scream (v.) แปลว่าการกรีดร้อง แต่เติม -ing เข้าไป ในที่นี้ไม่แปลว่า กำลังกรีดร้อง แต่หมายถึง “การกรีดร้อง” มันคือการเติม -ing เข้าไปให้กลายเป็นคำนาม หรือที่เรียกว่า Gerund
    เรื่อง Gerund ต้องอธิบายกันยาวเลย ไว้เดี๋ยวจะเขียนแบบเต็มๆมาให้ แต่จำไว้ว่า ถ้ากริยา -ing อยู่เดี่ยวๆ ไม่มี verb to be มาช่วย มันไม่ได้แปลว่า กำลังทำอยู่ แต่มันคือคำนามของคำนั้นๆ
    ในภาษาไทยก็คือการเติมคำว่า การ หรือ ความ เข้าไปข้างหน้าคำกริยานั่นเอง
  • Perfect storm ถ้าแปลตรงๆก็หมายถึง พายุที่สมบูรณ์แบบ แต่คำนี้มีหมายถึง เหตุการณ์ร้ายๆมากกว่า 1 เหตุการณ์ ที่ประจวบเหมาะเกิดขึ้นพร้อมกันพอดี จนกลายเป็นพายุลูกใหญ่ที่โหมกระหน่ำซัด
  • Table turn ไม่ได้แปลว่าหมุนโต๊ะนะ แต่ Table ในที่นี้หมายถึงเกมกระดาน การ Turn Table ก็หมายถึงการพลิกกระดานหรือพลิกเกมนั่นเอง จากเสียเปรียบเป็นได้เปรียบ
    เพลงของ Adele ก็มีเพลงชื่อ Turning Tables ซึ่งก็แปลว่าการพลิกเกมเหมือนกัน
  • Second guess จริงๆก็แปลเหมือนคำว่า guess เลยแหละ แปลว่าคาดเดา ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเติม second เข้ามาทำไม
  • Get drunk แปลว่า “เมา” ไม่ได้แปลว่าดื่มนะ
    ส่วน Jealousy แปลว่าความอิจฉาริษยา หรือความขี้หึงก็ได้ ปกติ Jealous เป็น adj. แต่พอเติม y เข้าไปเลยกลายเป็นคำนาม
    คำที่ใกล้เคียงกับ Jealous ก็คือ Envy แต่ Envy เป็นคำกริยา วิธีใช้จึงต่างกันกับ Jealous อย่างสิ้นเชิง
  • Torture (n., v.) เป็นคำที่เป็นได้ทั้งคำนามและกริยา ถ้าเป็นคำนามก็แปลว่า ความทรมาน ความเจ็บปวด
    แต่ถ้าเป็นกริยาก็คือ การทรมาน

ไวยากรณ์ (Grammar)

  • Where you been ถ้าจะเอาให้ถูกหลักไวยากรณ์จริงๆแล้วนั้น ต้องเขียนว่า Where have you been?
    แปลได้ว่า เธอไปอยู่ที่ไหนมา?
    สาเหตุที่ต้องใช้รูป Where have you been หรือ Where had you been เพราะ
    1. been ถือเป็นกริยาช่อง 3 ซึ่งกริยาช่อง 3 นี้ไม่สามารถใช้เดี่ยวๆได้เหมือนกริยาช่อง 1 และ 2
    2. กริยาช่อง 3 ใช้กับประโยคในรูป Perfect หรือ Passive Voice (ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ) เท่านั้นสำหรับกรณีนี้ ควรจะเป็นรูป Perfect เพราะเป็น Passive Voice ไม่ได้เนื่องจาก verb to be ทั้งหมด ถูกทำเป็นประโยค passive voice ไม่ได้
    หลักการของประโยครูป Perfect ก็คือต้องมี verb to have + verb ช่อง 3 = have beenแล้วประโยครูป Perfect คืออะไรล่ะ?
    ประโยครูป Perfect คือประโยคที่พูดถึงเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในอดีต ต่อเนื่องมาจนถึงจุดจุดหนึ่ง พูดง่ายๆว่าเป็นเหตุการณ์ที่กระทำต่อเนื่องมาตั้งแต่ในอดีตนั่นแหละ
    ส่วนจุดสิ้นสุดของเหตุการณ์นั้น ขึ้นอยู่กับ Tense ที่เราใช้
    อย่างเช่น Past perfect tense = เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในอดีตตตตตต จนถึง อดีตจุดที่เราพูดถึง (เป็นอดีตของอดีตนั่นเอง)
    Present perfect tense = เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในอดีต จนถึงปัจจุบันในเหตุการณ์นี้ เลยคิดว่าน่าจะเป็น Where have you been
    เพราะพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีต จนถึง ปัจจุบัน
    “เธอไปอยู่ที่ไหนมา?” อารมณ์แบบ ตั้งแต่อดีต จนถึงตอนเนี้ยที่ผู้ชายคนนี้โผล่มา ฮีไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ทำไมพึ่งมาเจอเอาตอนนี้ล่ะ!!
    แบบนี้เลยตัองใช้ Present perfect tense เนอะ
  • Could เป็น modal verb หรือเป็นกริยาช่วยที่ไม่สามารถเปลี่ยนรูปได้ มีความหมายเหมือน Can ที่แปลว่าสามารถ แต่วิธีการเอาไปใช้คือจะมีความสุภาพกว่า Can และสามารถใช้ในรูปอดีตได้
  • Saw you there and I thought
    ประโยคนี้เป็นรูปอดีตกาล หรือ Past Simple Tense เห็นได้จากกริยาช่อง 2 (Saw ช่อง 2 ของ See และ Thought ช่อง 2 ของ Think)
    คิดว่าตรงนี้เป็นรูปอดีตเพราะพูดไปถึงตอนที่ผู้ชายคนนี้เดินเข้ามา
  • Oh my God, look at that face
    You look like my next mistake
    Love’s a game, want to play?
    3 ประโยคนี้เป็นรูปปัจจุบัน เพราะว่าสามประโยคนี้เป็นสิ่งที่เธอ”คิด” หรือ”พูด”
    คำพูดและความคิดที่ใช้ปกติ ถ้าเราไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ในอดีตนะ เราจะใช้เป็นรูปปัจจุบัน แม้ว่าเราจะพูดหรือคิดในอดีตก็ตาม แต่คำพูดที่ออกมาจะเป็นรูปปัจจุบัน
  • Ain’t it funny
    Ain’t เป็นคำย่อแบบไม่เป็นทางการของ am not, are not, is not, has not, have not.
    ซึ่งในกรณีนี้ จะย่อมาจาก Isn’t it เพราะมี It เลยต้องใช้ is
    ไม่ใช้ has เพราะ funny เป็นคำคุณศัพท์ (adjective) ต้องใช้ verb to be เป็นตัวเชื่อมถ้าใครเคยฟังเพลง If I ain’t got you. Ain’t ในที่นี้ ย่อมาจาก Have not เพราะประโยคนี้มีกริยาหลักเป็น Got อยู่แล้ว (เป็นช่อง 3 ของ get) และเพราะเป็นช่อง 3 เลยต้องใช้คู่กับ Perfect tense ที่ต้องการ verb to have มาเป็นกริยาช่วย
    ปกติแล้วที่เราเรียนมาช่องที่ 3 ของ Get คือ Gotten แต่เป็นคำที่ไม่ค่อยได้ใช้กันเท่าไหร่ในทั่วโลก ใช้แค่ในอเมริกาเท่านั้น
  • And I know you heard about me
    ท่อนนี้มีทั้ง Present Simple Tense และ Past Simple Tense อยู่ด้วยกัน
    ส่วนที่เป็นปัจจุบันคือ I know และอดีตก็คือ You heard about me ดูได้จากรูปของกริยา know เป็นช่อง 1 และ heard เป็นช่องสองของ hear
    ที่ต้องใช้สอง tense แบบนี้เพราะว่า… เธอรู้ ในปัจจุบัน ว่า ในอดีต เขาเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเธอแล้ว
  • So hey, let’s be friends
    Let’s เป็นคำย่อมาจาก Let us ที่แปลว่า “ปล่อยให้เรา” “ยอมให้เรา” “ให้พวกเรา” อะไรประมาณนี้
    เจอบ่อยๆก็ Let’s go “พวกเราไปกันเถอะ”
    Let มันจะค่อนข้างเป็นคำเชิญชวน หรือการอณุญาต หรือคำสั่งนะ
  • I’m dying to see how this one ends
    ประโยคนี้จะเป็นกริยารูป -ing อยู่ ซึ่งเป็นรูป ing ของคำว่า die + ing = dying
    die ที่แปลว่าตายนั่นแหละ ในที่นี้ไม่ได้แปลว่า ฉันกำลังจะตาย แต่ต้องดูทั้งประโยคคือ dying to see “อยากจะเห็นแทบตาย”
    ส่วนรูปประโยคที่เป็น -ing คือรูป Continuous นั่นเอง (หรือ Progressive ก็ได้) ในกรณีนี้ก็จะเป็น Present Continuous Tense
    วิธีการสร้างประโยค Continuous ก็คือ verb to be + verb -ing = I am dying
    วิธีการใช้ประโยค Continuous คือ… ใช้ในตอนที่เราบอกว่า เรา”กำลัง”ทำอะไรอยู่ แต่อยู่ในอดีตหรือปัจจุบันหรืออนาคตก็ต้องเปลี่ยน verb to be ไปตามนั้น
    ถ้าเป็นอดีตก็คือ I was dying
    อนาคตก็ I will be dying
    เป็นต้น
  • I can make the bad guys good for a weekend
    Make เป็นหนึ่งในกริยาที่ใช้สั่งหรือบังคับให้ใครสักคน ทำอะไรบางอย่าง เหมือนคำว่า Let, have, get
    มีรูปแบบในการใช้งานคือ
    Make someone do something = Make (the bad guys) (good)
    ทำให้ผู้ชายแสบๆ เป็นคนดี
  • So it’s gonna be forever
    Or it’s gonna go down in flames
    Gonna เป็นคำย่อของ Going to แต่เป็นคำที่ไม่เป็นทางการนะ ไม่ควรใช้ในการพูดหรือการเขียนที่เป็นทางการ
    จากรูปประโยค verb to be (is) + going to (gonna) + infinitive without to (be)
    เป็นรูปประโยคของ Future Simple Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตนั่นเอง
    รูปประโยค Future Simple Tense ยังสร้างได้อีกแบบหนึ่งคือ will + infinitive without to ก็ได้
    ส่วนไอที่บอกว่า infinitive without to เนี่ย… ถ้าเอาแบบง่ายๆแล้ว มันก็คือ verb ช่องแรกนี่แหละ แบบไม่เติม s ไม่เปลี่ยนรูปอะไรทั้งนั้น
    แต่กรณี verb to be เนี่ย รูป infinitive ของมันคือ to “be” ไง
    ไว้จะอธิบายเรื่อง infinitive แบบละเอียดอีกโพสต์เนอะ
  • Got a long list of ex-lovers
    They’ll tell you I’m insane
    But I’ve got a blank space, baby
    And I’ll write your name
    ท่อนนี้ มีถึง 3 Tense ด้วยกัน
    เริ่มจาก Got ที่เป็นกริยาช่อง 2 ของคำว่า Get ถ้าเห็นกริยาช่อง 2 คิดไว้เลยว่าเป็นอดีตแน่ๆ และในประโยคนี้ก็ไม่มีกริยาช่วยตัวอื่นๆเลย แปลว่าเป็นประโยค Simple หรือประโยคนี้คือ Past Simple Tense นั่นเอง
    ต่อด้วย They’ll ย่อมาจาก They will เห็น will อยู่หน้าคำกริยาปุ๊บ คิดไว้ก่อนเลยว่าเป็นอนาคต และประโยคนี้ก็มีกริยาช่วยเพียงตัวเดียวคือ will และตามด้วยกริยาหลักอย่าง Tell เลย แปลว่าอันนี้ก็เป็น Simple หรือก็คือ Future Simple Tense นั่นเอง
    ต่อมา I’ve got ย่อมาจาก I have got เป็น verb to have + กริยาอีกตัวนึง ก็คิดไว้เลยว่าเป็นรูปประโยค Perfect แน่ๆ ต่อมาก็ดูว่า verb to have เป็นกริยาช่องไหน เห็นได้ว่า have คือช่อง 1 แปลว่าประโยคนี้คือ Present Perfect Tense
  • Stolen kisses, pretty lies
    Stolen เป็นกริยาช่อง 3 ของคำว่า Steal ที่แปลว่าขโมย เมื่อเอามาอยู่นำหน้าคำนามเดี่ยวๆแล้ว จะใช้ขยายให้คำนามตัวนั้นเป็นผู้ถูกกระทำ ในที่นี้คือจูบ ที่ถูกขโมย
    ตัวอย่างอื่นๆก็เช่น Broken heart: Broken เป็นกริยาช่อง 3 ของ Break ที่แปลว่าแตก หรือทำลาย มาอยู่กับหัวใจ ก็เลยกลายเป็นหัวใจสลาย
  • Don’t say I didn’t say, I didn’t warn ya
    Don’t say อย่าพูด (ปัจจุบัน) I didn’t say ไม่เคยบอก (อดีต เพราะ did = อดีตของ do)
    เช่นเดียวกับ didn’t warn ก็เป็นอดีตเช่นกัน